วิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
ของ คอลลิน โบว์เลส
นางสาวน้ำฝน พรมสากล
รหัสนักศึกษา 573130010125
สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาวรรณกรรมเด็กและเยาวชน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559
มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
คำนำ
เรื่องเจ้าตัวแสบส์ส์
เป็นการรวมเรื่องสั้น ที่มีการเรียบเรียงถ้อยคำที่เรียบง่าย
ซึ่งผู้เขียนๆเรื่องออกมาได้อย่างธรรมชาติ รู้จักความคิดพฤติกรรมอันละเอียดอ่อนของเด็กในมีเรื่องชวนให้ผ่อนคลายมีอารมณ์ขันอย่างเหลือเชื่อ
มีข้อคิด คติสอนใจ และปรัชญาในการอบรมลูกอย่างน่าทึ่ง รวมถึงเทคนิคในการเล่าเรื่องให้สนุกสนานจนผู้อ่านวางไม่ลง
สำหรับการวิเคราะห์วรรณกรรมเล่มนี้ผู้จัดทำได้เล็งเห็นว่าจะเป็นประโยชน์
โดยได้ทำการวิเคราะห์โดยใช้ทฤษฎีในการวิเคราะห์เป็นหลักโดยใช้เรื่องราวในรวมเรื่องสั้นเจ้าตัวแสบส์ส์
ของ คอลลิน โบว์เลส มาถ่ายทอดตามโครงสร้างเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและผู้ที่สนใจมากก็น้อยอีกทั้งยังสามารถนำแนวคิด คุณค่าของเรื่องสั้นนี้ ไปเป็นแนวทางในการวิเคราะห์วรรณกรรม
หรือปรับใช้กับรายวิชาอื่นได้
ผู้จัดทำ
น้ำฝน พรมสากล
สารบัญ
เรื่อง หน้า
ชุดเก่ง
ใครดื้อกันแน่?
ซานตา(ผม)คลอส
กรรมเกิน
“พ่อขาาาาาาา….รู้ไหมมมมมมม”
ข่าวดี?
พ่อไม่เมา
ของหาย
วันแม่
ใครหนอทำให้พ่อรักในสิ่งที่ไม่ชอบ
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่อง ชุดเก่ง
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องให้มีความขัดแย้งของตัวละครเพื่อเป็นการสร้างความน่าสนใจให้กับเรื่องเช่น
ในเรื่องชุดเก่งเป็นเหตุการณ์ของลูกที่เอาแต่ใจและพ่อแม่ต้องคิดวิธีอบรมสั่งสอนลูกให้เชื่อฟังแก่นเรื่อง
แก่นเรื่อง
คือใจความสำคัญของเรื่องซึ่งผู้แต่งมีการใช้แก่นเรื่องแสดงทัศนะมุ่งเสนอความคิดต่อผู้อ่านโดยผ่านตัวละครเช่น
เรื่องชุดเก่งได้มีการวิธีการอบรมเลี้ยงดูลูก
ตัวละคร
ผู้เขียนมีการสร้างตัวละครให้สมจริง มีลักษณะเป็นไปตามธรรมชาติในเรื่องมีตัวละครในเรื่องที่เด่นๆมี
2 ตัวคือ คุณพ่อ และ แอนนี่
คุณพ่อ: คุณพ่อเป็นตัวละครที่คอยดูแลลูกและคิดหาวิธีดัดนิสัยลูกให้เป็นเด็กไม่ดื้อและเชื่อฟังพ่อแม่
แอนนี่: เป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ดื้อและซน
ฉาก
การใช้ฉากมีความสอดคล้องกับเรื่องราวสอดคล้องกับชื่อเรื่อง
มีการใช้ภาษาบรรยายให้เห็นเด่นชัดตรงไปตรงมาเช่น
“หลังจากสิบนาที…แอนนี่ก็ได้ออกมาเต้นดิสโก้อย่างมีความสุขอย่างล้นเหลือ…อยู่กลางงาน…ประดุจนกน้อยๆที่ลอยล่องเริงร่าอยู่บนฟากฟ้า…..ถึงแม้ว่าชุดแดงแรงฤทธิ์ของเธอออกมอมๆด้วยซอสมะเขือเทศและกางเกงในสีฟ้าก็ออกจะเปียกชื้นอยู่สักหน่อยก็ตาม”
(หน้า18)
บทสนทนา
บทสนทนาในเรื่องมีบทสนทนาที่เด่นๆและแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมของตัวละครได้เด่นชัด
เช่น
คุณพ่อ: “นี่….แม่สาวน้อย….แคทเทอรีนกับรูท….เสร็จแล้วนะทุกคนพร้อมที่จะไปกันแล้ว….ถ้าลูกไม่ลุกขึ้นเตียง….แต่งตัวละก็….พวกเราจะไปทำงานโดยไม่รอลูกนะ!!”
(หน้า 15)
แอนนี่ : “ ก็ช่าง…..หนูไม่สนหรอก!”
จากบทสนทนาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยของตัวละครได้เด่นชัดโดยเฉพาะแอนนี่ที่เป็นคนดื้อและขี้เอาแต่ใจเป็นต้น
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีกลวิธีในการดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครเป็นผู้เล่าเรื่องเนื้อหาและเรื่องราวของเรื่องชุดเก่ง
มีการใช้ภาษาเหมาสมกับวัย มีถ้อยคำที่ง่าย
กระชับ สละสลวย ไม่หยาบคายมากนัก
ถูกต้องตามคามหมายไม่ซับซ้อนไม่ยากจนเกินไปและมีความเป็นธรรมชาติเหมือนเรื่องในชีวิตประจำวันจริงๆ
เช่น “พอใกล้เวลาจะไปงาน…ผมเข้าไปตามแอนนี่ที่ห้องนอนปรากฏว่าลูกยังใส่เฉพาะถุงเท้ายาวและรองเท้าที่ขัดเป็นมันปลาบเท่านั้น……และยืนตัวเปล่าเล่าเปลือย…..ตาจ้องเขม็งไปที่ตู้เสื้อผ้า”
(หน้า 12)
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง
ผู้เขียนมีการตั้งชื่อเรื่องสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและแก่นเรื่อง
เช่น เรื่องชุดเก่ง
ในเรื่องเป็นเรื่องราวของเด็กน้อยที่ไม่ยอมใส่ชุดอื่นนอกจากชุดสีแดงที่เปื้อนซอสมะเขือเทศ
แต่พ่อแม่ไม่ให้ใสเพราะยังไม่ซัก แต่ผลสุดท้ายพ่อแม่ก็ยอมเพราะอยากให้ลูกมีความสุข
การสร้างความสะเทือนใจ
เรื่องชุดเก่งเป็นเรื่องราวของครอบครัวเล็กๆที่ความวุ่นวายเกี่ยวกับชุดของลูกสาวเจ้าของบ้านและมีการสนทนาโต้ตอบกันสร้างความสนุกสนานตลกทำให้ผู้อ่านมีความสุขและวางหนังสือไม่ลง
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่อง
ใครดื้อกันแน่?
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการโครงเรื่องให้มีความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของตัวละคร
ทำให้เกิดเรื่องราวสนุกสนานเช่น
เรื่องราวของลูกสาวครอบครัวหนึ่งที่ต้องการอยากจะกินขนมปังจนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น
แก่นเรื่อง
แก่นเรื่องในเรื่องใครดื้อกันแน่?
เป็นแก่นเรื่องแสดงทัศนะผู้แต่งมุ่งเสนอให้เห็นว่าเราไม่ควรที่จะถือสาเด็กเพราะเด็กยังไงก็ยังเป็นเด็กอยู่
ตัวละคร
ผู้เขียนมีการสร้างตัวละครให้สมจริง คือมีลักษณะเป็นธรรมชาติ มีเอกลักษณ์ที่โดเด่น มีบทบาทที่เหมาสมกับตัวละครเช่น ตัวละครในเรื่องที่หลักๆมีอยู่ 3 ตัวละคร คือ
คุณพ่อ:
คุณพ่อเป็นคนอบรมสั่งสอนและดูแลลูกๆ
คุณแม่: คุณแม่เป็นคนคนห้ามลูกไม่ให้กินขนมปังลายชิ้นจนเกิดเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น
แคทเทอรีน
:
เป็นเด็กสามขวบที่มีอุปนิสัยที่เอาแต่ใจและดื้อ
เป็นตัวละครหลักของเรื่อ
ฉาก
ฉากในเรื่องสอดคล้องกับโครงเรื่องและมีความสมจริงแสดงให้เห็นเด่นชัดคือ
สภาพห้องของ แคทเทอรีน เช่น
“ผมตามแคทเทอรีนขึ้นไปบนบ้านหลังจากที่แอได้วิ่งเข้าห้องของเธอ
พอเปิดประตูเข้าไปผมแทบจะลมใส่
เพราะสภาพห้องเหมือนถูกโจนปล้น ข้าวของรื้อค้นกระจุยกระจาย กลาดเกลื่อนเต็มพื้นห้องไปหมด”(หน้า 22)
บทสนทนา
ในเนื้อเรื่องมีการสนทนาเยอะมากบทสนทนามีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องเหมาะสมกับตัวละครและมีบทสนทนาที่แสดงถึงอุปนิสัยของตัวละครได้เด่นชัดเช่น
แคทเทอรีน:
“จะเอา…ขนมปังกรอบ….อีกกกกก”
คุณพ่อ : “เมื่อฉันบอกว่า…ไม่…หมายความว่า…ไม่….ถ้าไม่หยุดร้องไห้ละก็…ฉันจะตี”
แคทเทอรีน:
“จะเอาขนมปังกรอบ….อีก” (หน้า
22)
จากบทสนทนาจะเห็นถึงความดื้อรั้นของตัวละครและมีตัวละครที่เป็นคุณพ่อที่พยายามจะสั่งสอนลูก
เป็นต้น
กลวิธีในการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีการดำเนินเรื่องโดยให้ตัวละครเป็นคนเล่าเรื่องมีการสร้างความขัดแย้งให้ตัวละครเพื่อให้เกิดความวุ่นวายและเกิดเหตุการณ์ต่างๆให้เรื่องดำเนินได้ด้วยความสนุกสนาน
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง
การตั้งชื่อเรื่องมีความสอดคล้องกับกับเนื้อเรื่องมีความกะทัดรัดอ่านแล้วสื่อความหมายได้ง่ายๆและไม่ทำให้เด็กๆสับสน เช่น ชื่อเรื่องใครดื้อกันแน่?
การสร้างความสะเทือนใจในเรื่อง
เป็นการสร้างความสะเทือนใจแบบสุขใจคือ
ในเรื่องมีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายแต่สุดท้ายก็มีการลงเอยด้วยดีเช่น “หลังอาหารเช้าเธอเด็ดดอกไม้…จากข้างบ้าน..ซึ่งที่จริงเธอถอนมาทั้งต้นมากกว่า….มาให้…เราไม่ว่ากันเพราะรู้ว่าเธอปรารถนาดีและเราก็เป็นครอบครัวที่สงบสุขดังเดิม”(หน้า26)
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่อง
ซานตา(ผม)ครอส
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องแบบความขัดแย้งของแหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในเรื่องมีการจัดงานคริสต์มาสและคุณพ่อต้องแต่งตัวเป็นซานตาคลอส
แต่เนื่องด้วยปีอากาศร้อนทำให้คุณพ่อที่แต่งตัวเป็นซานตาคลอสเป็นลมทำให้ลูกๆเกิดความสงสัยว่าซานตาคลอสเป็นใคร
แก่นเรื่อง
แก่นเรื่องซนตา(ผม)ครอสเป็นแก่นที่แสดงอารมณ์คือเป็นเรื่องที่แสดงความรู้สึกของตัวละครเพื่อให้เกิดความคล้อยตามเช่น
พ่อที่ดีที่สุดคือทำให้ลูกมีความสุข
ตัวละคร
ผู้แต่งมีการสร้างตัวละครให้มีความสมจริงโดยตัวละครมีกาดำรงชีวิตเหมือนคนในในปัจจุบัน
ตัวละครในเรื่องที่เด่นๆมีอยู่ 3 ตัวละคร
คุณพ่อ:
คือคนที่คอยอบรมลูกๆและทำทุกอย่างให้ลูกมีความสุข
คุณแม่:
เป็นภรรยาที่ดีคอยดูแลคุณพ่อและครอบครัว
แคทเทอรีน
: เป็นเด็กขี้สงสัยและคอยจับผิดซานตาคลอส
ฉาก
ฉากในเรื่องมีความสอดคล้องกับเรื่องราวอารมณ์และบุคลิกลักษณะของตัวละครรวมไปถึงมีการใช้ภาษาในการบรรยายมีความเด่นชัด กระชับ
ตรงไปตรงมาเช่น “ผมก็ทำการสั่นกระดิ่งเล็กๆที่ถือมา
และครางอู้อี้ๆอยู่ในลำคอว่า “โฮ…โฮ…โฮ.”ระหว่างที่เดินโซซัดโซเซไปตาทางเดินของห้องโถง
พอเด็กหญิงแด็กชายเห็นก็ตกใจกลัววิ่งไปซุกอกของแม่ๆของตัวเอง.”(หน้า 32)
บทสนทนา
ในเนื้อเรื่องมีการใช้บทสนทนาที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน
เป็นถ้อยคำที่ใช้ในชีวิตประจำวันและบทสนทนาก็เหมาะสมกับบุคลิกของตัวละครเช่น
แคทเทอรีน: “ ซานตาคลอสไม่ค่อยอ้วนเลยนะคะพ่อ”
แคทเทอรีน:
“ชุดของซานตานะ…ยัดหมอนเต็มตัวเลย…คล้ายๆกับหมอนโซฟาของบ้านเรานี่แหละพ่อ”
คุณพ่อ: จริงเหรอ…ลูก”
จากบทสนทนาข้างต้นจะเห็นว่าผู้แต่งมีการใช้คำพูดของตัวละครแบบเรียบง่ายมีความเป็นธรรมชาติเข้าใจง่ายและเป็นคำพูดที่ใช้ในชีวิตประจำวันจริงๆ
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีกลวิธีการดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครเป็นผู้เล่าเรื่อง
โดยในเรื่องคือตัวละครที่เป็นคุณพ่อเป็นคนเล่าเรื่องเสมือนผู้เขียนเรื่อง
การใช้ภาษาเหมาะกับวัย และศักยภาพของเด็กในเนื้อเรื่องมีการ ดำเนินเรื่องตามลำดับปฏิทิน
คือ เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นเรื่องจนมีการเกิดปัญหามากมายจนสุดท้ายจบอย่างมีความสุข
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง
เรื่องซานตา(ผม)คลอส
เป็นการตั้งชื่อเรื่องสอดกับเหตุการณ์สำคัญในเรื่องเพราะ
ในเรื่องจะมีคุณพ่อที่ต้องแต่งตัวเหมือนซานตาครอสมาแจกของขวัญสำหรับเด็กๆ
และมีการตั้งชื่อเรื่องได้อย่างเหมาะสมไม่ซับซ้อนทำให้เด็กเข้าใจง่ายชื่อเรื่องมีความสอดคล้องกับแก่นเรื่องเป็นต้น
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการสร้างเรื่องสะเทือนใจแบบสุขใจคือในเรื่องมีความวุ่นวายมากมายแต่สุดท้ายผู้เขียนก็เขียนให้ผู้อ่านมีความประทับใจในตัวละครที่เป็นพ่อที่พยายามทำให้ลูกๆมีความสุข
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องกรรมเกิน
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องให้มีความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรรมของตัวละคร
เพื่อให้เกิดความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น เช่น
เรื่องกรรมเกินเป็นเรื่องราวของลูกๆที่ไม่ลงรอยกันและทำให้คุณพ่อต้องมาเป็นผู้ตัดสินในเรื่องก็จะมีเรื่องราวต่างๆมากมายที่เกิดขึ้น
แก่นเรื่อง
ผู้เขียนได้มีการวางแก่นเรื่องเป็นการแสดงถึงทัศนะที่ผู้เขียนมุ่งสอนวิธีการเลี้ยงลูก
เช่น เรื่องบางเรื่องเราควรให้ลูกเป็นคนแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง
ตัวละคร
ผู้เขียนมีการสร้าตัวละครให้สมจริงคือ
ตัวละครในเรื่องมีลักษณะนิสัยเหมือนกันกับชีวิตจริงทำให้ผู้อ่านๆแล้วดูเหมือนเรื่องราวที่เป็นจริงและมีตัวละครมาประกอบทำให้เรื่องราวเข้มข้นขึ้นมาในเรื่องมีตัวละครหลักๆ
คือ คุณพ่อ แอนนี่ แคทเทอรีน
คุณพ่อ:
เป็นตัวละครที่ต้องคอยดูและลูกๆและคอยกำราบลูกเมื่อลูกทำผิด
แอนนี่:
เป็นพี่สาวของแคทเทอรีนซึ่งเป็นคนที่เอาแต่ใจชอบแกล้องแคทเทอรีน
แคทเทอรีน:
เป็นน้องสาวของแอนนี่เป็นลูกสาวคนสุดท้องที่มีนิสัยเอาแต่ใจและเป็นเด็กดื้อและซน
ฉาก
ในเรื่องกรรมเกิน
ไม่ค่อยมีฉาก สถานที่
มากเท่าไหร่นักเพราะผู้เขียนจะเขียนบรรยายสั้นๆกะทัดรัดแต่ส่วนมากจะเป็นฉากเห็นการณ์ที่เด็กๆทะเลาะกัน
เช่น “เช้าวันรุ่งขึ้น….ผมพร้อมที่จะสู้รบปรบมือกับเจ้าตัวแสบจอมยุ่งทั้งสองใหม่…ถ้าไม่จำเป็น…เราตั้งใจจะออกไปเที่ยวข้างนอก แอนนี่และแคทเทอรีนต่างก็วิ่งแข่งกันไปทที่รถแย่งกันเป็นคนแรกที่จะเปิดประตูรถด้านเดียวกันทั้งๆยังมีประตูอีกตั้งสามประตูให้เปิด เมื่อเข้าไปในรถได้
ก็แย่งกันอีกว่าใครจะนั่งตรงกลาง”(หน้า 42)
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฉากที่เด็กๆวิ่งแข่งกันขึ้นรถผู้เขียนไม่ได้เขียนบรรยายอะไรมากมายเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความซับซ้อนของเนื้อหา
บทสนทนา
บทสนทนาในเรื่องมีการโต้ตอบในเรื่องและมีความสอดคล้องกับชีวิตจริงของเด็กๆมีการใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายมีความกระชับเช่น
คุณพ่อ:
“จุ๊…จุ๊…เงียบๆ…พ่อไม่เข้าใจเลยว่าจะต้องแย่งกันทำไม…ในเมื่อลูกมีตุ๊กตาบาร์บี้ตั้ง11 ตัว และตุ๊กตาเคนซ์อีก 6 ตัว…ทำไมจะต้องแย่งตุ๊กตาตัวนั้นตัวเดียว….หา”
แอนนี่: “ก็มันสวยเป็นพิเศษนี่”
จากบทสนทนาข้างต้นจะเห็นว่าเกิดความวุ่นวายภายในครอบครัวคือลูกสาวทั้งสองครอบครัวแย่งตุ๊กตาบาร์บี้กันและในบทสนทนาจะเห็นว่ามีการใช้ภาษาที่เรียบง่ายเข้าใจไม่ซับซ้อนตรงไปตรงมา
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีการดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครเล่าเรื่องโดยผู้มีการถ่ายถอดคำพูดผ่านตัวละคร
และได้มีการสรุปเรื่องราวไว้ต้นเรื่องเพื่อเป็นการเรียกจุดสนใจให้ผู้อ่านอยากอ่านต่อและอยากทราบเรื่องราวว่าจะเป็นอย่างไรโดยมาการใช้ที่ซักจูงผู้อ่านให้สนใจได้อย่างแนบเนียน
เช่น “ผมนึกว่างานชิ้นโบว์แดงของการเป็นพ่อแม่ คือ
ต้องคอยเป็นกรรมการห้ามทัพเวลาลูกๆทะเลาะกันซะอีกจริงๆแล้วไม่จริงเสมอไป ลูกๆอาจจะจัดการสงบเรื่องราวกันเองได้
ทำให้เราเหมือนกรรมเกินเสียมากกว่า”(หน้า
37)
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง
การตั้งชื่อเรื่องมีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องโดยแฝงข้อคิดไว้ในชื่อเรื่อง เช่น กรรมเกิน
เป็นการพูดเปรียบเทียบ ว่าตัวเองเป็นกรรม
ที่ต้องมาเป็นผู้ตัดสินระหว่างลูกสาวสองคน
จนลืมไปว่าบ้างครั้งลูกควรต้องแก้ปัญหาด้วยตนเอง
เมื่อเราไปห้ามก็เหมือนเป็นส่วนเกินเหมือนในเรื่องที่คุณพ่อนที่เป็นเหมือนกรรมเกินนั้นเอง
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการสร้างความสะเทือนใจเกิดขึ้นซึ่งไม่เป็นผลดีเท่าไหร่ลูกๆอยู่ตรงนั้นด้วยและเป็นการสร้างความสะเทือนใจให้กับลูกๆ
เช่น
“ผมบ่นไปเรื่อยๆจนกระทั่งกลับกลายเป็นศึกระหว่างพ่อแม่แทน
พอเราทะเลาะกันจนเหนื่อย…เราก็เหลียวกลับมาดูลูกๆ….”(หน้า 42)
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
“เรื่องพ่อขาาาาารู้ไหม”
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องให้มีความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของตัวละคร เพื่อให้เกิดความสุกสนานเช่น เรื่องพ่อขาาารู้ไหมเป็นเรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งพ่อต้องรับภาระเลี้ยงลูกและลูกก็ซนเล่นของแต่ละอย่างเลอะเทอะไปหมดจนทำให้พ่อโมโหและเกิดเป็นเรื่องราวต่างๆขึ้น
แก่นเรื่อง
ในเรื่องพ่อขาาาาารู้ไหมผู้เขียนมีการใช้แก่นเรื่องแบบแสดงทัศนะผู้เขียนมุ่งเสนอสอนในเรื่องของการเลี้ยงลูกเช่น
ในเรื่องเป็นการแฝงแง่คิดว่าไม่ให้ถือสาเด็ก
ตัวละคร
ตัวละครในเรื่องมีความคิดและพฤติกรรมที่สมวัย
ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงตัวละครที่เป็นผู้ใหญ่ต้องพูดจาเป็นผู้ใหญ่ เช่น
ในเรื่องพ่อขาาาาารู้ไหมในเรื่องมีตัวละครเด่นๆอยู่ 2ตัวละคร คือ
คุณพ่อ:
ซึ่งคุณพ่อต้องแบกรับหน้าที่ในการเลี้ยงดูลูก
แคทเทอรีน:
เด็กจอมซน ที่ก่อความวุ่นวายทำห้องสกปรกเลอะเทอะทำให้พ่อต้องตาดเก็บ
บทสนทนา
ในบทสนทนาการใช้ภาษาในการสนทนาแบบชีวิตประจำวันมีความเป็นธรรมชาติ
เข้าใจง่าย และบทสนทนาที่เด่นๆคือ
แคทเทอรีน:
“พ่อขาาาา……รู้ไหม”(หน้า
49)
คุณพ่อ:
“อะไรหรอจ๊ะ……แคทเทอรีน”(หน้า
49)
จากบทสนทนาข้างต้นเป็นบทสนทนาของแคทเทอรีนที่คุยกับพ่อและปรากฏอยู่ในเรื่องเยอะมาก
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้แต่งมีการดำเนินเรื่องตามปฏิทินในเรื่องมีการลำดับเหตุการณ์อย่างเป็นลำดับบางครั้งมีการแทรกความรู้หรือรายละเอียดของเนื้อหาไว้ในการดำเนินเรื่อง
ในเรื่องมีการลำดับความคิด ทำให้เด็กไม่เกิดความสับสน ตรงไปตรงมา เป็นต้น
วิธีการตั้งชื่อเรื่อง
ผู้แต่งมีการแต่งชื่อเรื่องสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและแก่นเรื่องการแต่งชื่อเรื่องมีความกะทัดรัดใช้ภาษาง่ายๆทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงกับเนื้อเรื่องได้
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการสร้างความสะเทือนใจแบบสุขใจ
เช่น “เธอนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งแล้วตอบว่า “หนู…..รัก…รัก….รักพ่อ…มาก” (หน้า 52)
เป็นการสร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านเป็นอย่างมาก
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องข่าวดี
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องให้มีความขัดแย้งของตัวละคร
ที่ทำให้เรื่องมีความสนุกสนานและมีความน่าสนใจมากขึ้น
เช่นเรื่องข่าวดีเป็นเรื่องราวที่พ่ออ่านหนังสือพิมพ์เรื่องสงครามและแคทเทอรีนลูกสาวของเขาก็สงสัยเรื่องการเกิดสงคราม
พ่อก็เลยนึกถึงคนที่รบในสงครามเขาต้องแบกรับภาระหนักกว่าเยอะเพราะเขาต้องรักษาประเทศ เมื่อเทียบกับผมดูแลแค่คนในครอบครัว
แก่นเรื่อง
แก่นเรื่อง
เรื่องข่าวดีเป็นแก่นเรื่องแสดงทัศนะคือ
ผู้เขียนมุ่งสอนเสนอเรื่องเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกเช่นการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับการรักษาประเทศ
ตัวละคร
ตัวละครในเรื่องมีความเป็นธรรมชาติและมีความสมจริงเช่น
ตัวละครในเรื่องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและเรื่องมีตัวละครเด่นๆ คือ
คุณพ่อ, แคทเทอรีน
คุณพ่อ: เป็นคนที่คิดในใจเสมอว่าการเลี้ยงลูกเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก
แคทเทอรีน: เป็นสาวน้อยขี้สงสัยและชอบตั้งคำถามต่างๆพ่ออยู่บ่อยๆ
ฉาก
ฉากในเรื่องมีการบรรยายถึงบรรยากาศและสิ่งที่อยู่บริเวณรอบๆได้อย่างชัดเจน และมีการใช้คำไวพจน์เพื่อดึงดูดผู้อ่าน เช่น
“อากาศสดชื่นแจ่มใสที่สวนสาธารณะ….หมู่วิหคร้องเพลงขับขานประสนเสียงกันดังเซ็งแซ่ไพเราะเสนาะหู…ดูท่าทางร่าเริงเบิกบาน…คงจะเป็นเพราะว่ามันอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ออกก็ได้”(หน้า 60)
บทสนทนา
บทสนทนาในหนังสือสำหรับเด็กที่มีความสมจริงและใช้ถ้อยคำที่เหมาะสมกับฐานะบทบาทของตัวละครจากเรื่องข่าวดี
ในหนังสือชุด เจ้าตัวแสบส์ส์ เช่น
แคทเทอรีน:
“มีสงครามเยอะไหม….พ่อ”
คุณพ่อ: “ไม่รู้ซิ”
แคเทอรีน: “สักสอง….ได้ไหม”
คุณพ่อ: “คงมากกว่านั้นมั้ง” (หน้า 58)
กลวิธีในการดำเนินเรื่อง
ผู้แต่งมีการดำเนินเรื่องโดยให้ตัวละครเป็นคนเล่าเรื่อง
ในเรื่องเนื้อเรื่องเข้าใจง่าย เนื้อหาไม่ซับซ้อน
หรือยากจนเกินไปทำให้ผู้อ่านไม่เกิดความสับสนมีการเรียงลำดับเรื่องราว ได้อย่างเหมาะสม
การตั้งชื่อเรื่อง
สำหรับผู้จัดทำชื่อเรื่องและเนื้อหายังไม่สอดคล้องกันเท่าไหร่นักเพราะเนื้อหาจะมุ่งเน้นว่าแบ่งต้องแบกรับภาระในการเลี้ยงลูกแต่ไม่หนักเท่าคนที่กำลังรักษาประเทศในเนื้อหาไม่ได้เน้นและเกี่ยวพันกับเรื่องมากนัก
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องไม่มีการสร้างความสะเทือนไม่ปรากฏ
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องพ่อไม่เมา
โครงเรื่อง
เรื่องพ่อไม่เมาเป็นเรื่องที่ผู้เขียนวางโครงเรื่องไว้แบบความขัดแย้งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือ
ในเรื่องมีเหตุการณ์คือคุณพ่อไปงานเลี้ยงและดื่มมานิดหน่อยพอมาถึงบ้านเกิดเหตุการณ์คือคุณพ่อลื่นสเกตล้มและทับคุณแม่ให้บาดเจ็บและเกิดเรื่อราวต่างเกิดขึ้นมากมาย
แก่นเรื่อง
ในเรื่องผู้เขียนใช้แก่นเรื่องแสดงทัศนะด้านคุณธรรมเป็นความคิดต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยให้ตัวละครของเรื่องเป็นผู้แสดงทัศนะ
เช่น ให้รู้จักรับฟังปัญหาของอื่นก่อนเสมอ
ตัวละคร
ตัวละครในเรื่องผู้เขียนได้เขียนแบบการสร้างตัวละครให้สมจริง
คือการสร้างตัวละครที่เป็นไปตามธรรมชาติและในเรื่องตัวละครมีความเหมาะสมกับบทบาทที่ได้รับ
เช่น
คุณพ่อ: คุณพ่อเป็นตัวละครหลัก
เพราะเหตุการณ์เกิดจากที่คุณพ่อลื่นสเกต
แต่คนอื่นเข้าใจผิดว่าพ่อทำให้หัวชนกันกับแม่
ซูซี่: ซูซี่เป็นภรรยาที่คอยดูแลสามีและลื่นล้มหัวชนกันกับคุณพ่อและตาเขียวซ้ำทำให้คนอื่นเข้าใจผิด
ฉาก
ฉากมีความสอดคล้องกับโครงเรื่องและมีความกลมกลืนกับตัวละคร เช่น “เมื่อเรากลับถึงบ้าน….มืดมากเสียจนผมไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีสเกตบอร์ดวางทิ้งอยู่หน้าบ้าน…ผมจึงเหยียบมันและหงายหลังทันที…..”(หน้า 63)
บทสนทนา
บทสนทนาในเรื่องมีความสมจริงและมีการใช้ถ้อยคำได้เหมาะสมกับฐานะบทบาทของตัวละคร
จากเรื่อง พ่อไม่เมา เช่น
แอนนี่: “พ่อทำไมพ่อไม่ขับรถล่ะคะ”
คุณพ่อ: “เพราะว่า…….พ่อดื่มเบียร์มากหน่อย”
แอนนี่: “เมา……เหรอคะพ่อ” (หน้า 63)
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ในเรื่องเป็นการเล่าเรื่องย้อนต้นคือ
เล่าเรื่องเหตุการณ์ตอนท้ายเรื่องเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสงสัยก่อนและจึงเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบ
เช่น ในการเริ่มเร่องมีการบอกถึงเวลา
คือ “เมื่อสองเดือนก่อน….ผมกับซูซี่ไปช่วยจัดงานขายอาหารหาทุน” (หน้า 63)
จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นว่าผู้เขียนมีการใช้กลวิธีการดำเนินเรื่องแบบย้อนต้น
การตั้งชื่อเรื่อง
ในเรื่องพ่อไม่เมา เป็นการตั้งชื่อเรื่องตามเหตุการณ์สำคัญหรือจุดสำคัญของเรื่อง
เช่น พ่อล้มเพราะลื่นสเกตบอร์ด พ่อไม่ได้เมา เป็นต้น
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการสร้างความสะเทือนใจเรื่องหนึ่งคือ
ตอนที่คุณพ่อไปส่งแอนนี่ที่โรงเรียนและมีคนซุบซิบๆทำให้คุณพ่อ รู้สึกงง
และรู้สึกแปลก เพราะไม่มีใครมาพูดตรงๆและพากันไปสรุปเรื่องเองไม่ทันถามเจ้าตัว
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องของหาย
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการกำหนดโครงเรื่องโดยมมีการกำหนดให้มีความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของตัวละคร ถือเป็นความขัดแย้งที่สำคัญที่สุดของผู้เขียน
เพราะความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของตัวละครทำให้เกิดเรื่องราวสนุกสนาน เช่น
เรื่องของหาเป็นเรื่องราวของลูกที่เก็บของไม่เป็นที่และหาของไม่เจอและต้องให้พ่อแม่หาช่วย
คุณพ่อมีนิสัยเหมือนกับแอนนี่ลูกสาวของเธอที่เป็นคนขี้ลืมหาอะไรไม่เจอสักทีจนต้องให้ซูซี่มาหาให้
เป็นต้น
แก่นเรื่อง
แก่นเรื่องมีการแฝงคติในการดำรงชีวิตและการส่งเสริมจิตใจขอเด็กให้ดีขึ้นผู้เขียนมีการใช้แก่นเรื่องแสดงทัศนะ
คือมีการมุ่งเสนอสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยให้ตัวละครของเรื่องเป็นผู้แสดงทัศนะ
เช่น ให้ลูกเรียนรู้ด้วยตนเองและมีความอดทนอดกลั้น
ตัวละคร
ผู้เขียนมีการสร้างตัวละครให้สมจริง
คือสร้างตัวละครให้มีลักษณะเป็นไปตามี่เป็นได้ตามธรรมชาติ เช่น
คุณพ่อ:
คุณพ่อจะชอบอ่านหนังสือพิมพ์
แต่เป็นคนที่ขี้ลืมและชอบวางของไว้และหาไม่เจอ
คุณแม่:
คุณแม่เป็นคนเรียบร้อย เก็บของเป็นระเบียบและคอยหาของให้พ่อตลอด
แอนนี่:
แอนนี่เป็นเด็กฉลาดขี้สงสัยแต่ชอบวางของไม่เป็นที่และหาไม่เจอเหมือนคุณพ่อ
ฉาก
ฉากหรือบรรยากาศในเรื่องคือที่บ้านซึ่งผู้เขียนมีการเขียนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านแต่ไม่มีการบรรยายฉากให้เห็นมากนัก
บทสนทนา
บทสนทนาในเรื่องมีกรโต้ตอบกันทำให้เรื่องมีความบันเทิงและมีความน่าสนใจ
มากกว่าการบรรยายเพียงอย่างเดียว เช่น
แอนนี่: “หนูหาตุ๊กตาเจอจริงๆค่ะพ่อ”
คุณพ่อ:
“ลูกหาดูในห้องนอนแล้วใช่ไหม
แอนนี่:
“ค่ะ”
คุณพ่อ:
“ลูกหาดูที่อื่นแล้วหรอ” (หน้า 70)
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีการดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครเป็นผู้เล่าเรื่อง
โดยมีความจริงและดำเนินเรื่องที่ไม่ซับซ้อนมีความน่าสนใจ ตรงไปตรงมา
ทำให้เด็กอ่านแล้วไม่เบื่อง่าย
การตั้งชื่อเรื่อง
ผู้เขียนมีการตั้งชื่อเรื่องสอดคล้องกับเนื้อหาและแก่นเรื่อง
เช่น เรื่องของหาย เป็นต้น
การสร้างความสะเทือนใจ
ไม่ปรากฏเหตุการณ์หรือเรื่องราวเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนใจ
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องวันแม่
โครงเรื่อง
ผู้เขียนได้เขียนโครงเรื่องแบบความขัดแย้งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีการสร้างเหตุการณ์การแสดงบทบาทของตัวละคร จนเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น เช่นเรื่องวันแม่
เป็นเรื่องราวครอบครัวหนึ่งที่กำลังจัดงานวันแม่
และพ่อก็ได้ทำอาหารต่างๆเพื่อจะฉลอง
กับแม่แต่ลูกๆมาแย่งซูซี่ซึ่งเป็นภรรยาของพ่อจนหมดและลูกๆก็มานั่งแทนที่แม่และลูกๆเลยถามว่าไม่มีวันลูกบ้างหรอคะพ่อเลยยิ้มและคิดในใจว่าวันของลูกสำหรับพ่อแม่มีให้ทุกวัน
แก่นเรื่อง
ผู้เขียนมีการกำหนดแก่นเรื่องแบบแสดงอารมณ์
คือเป็นแก่นเรื่องที่แสดงความรู้สึกของตัวละครเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความคล้อยตามเช่น ในเรื่องวันแม่มีแก่นเรื่องคือ วันแห่งความรักเกิดขึ้นได้ทุกวัน
ตัวละคร
ตัวละครในเรื่องมีความสมจริง
มีการสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นเช่น
คุณพ่อ: คุณพ่ออยากฉลองวันเกิดให้แม่ของลูกซึ่งเป็นภรรยาพ่อ
คุณแม่: เป็นคนที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยแลละรักลูก
แอนนี่: เป็นลูกสาวคนแรกที่มีความซนกินอาหารเลอะเทอะตลอด
แคทเทอรีน:
เป็นเด็กชอบกินแลละเป็นเด็กที่ชอบสงสัย
ฉาก
ผู้เขียนไม่ได้บรรยายถึงฉากในเรื่องมากเท่าไหร่นัก
จะมีเหตุการณ์ฉากคืออยู่ที่บ้านและนั่งอยู่บนที่นอนเป็นฉากที่เห็นได้ชัด เช่น “เมื่ออาหารมาถึงที่นอน…..ทั้งแอนนี่และแคทเทอรีนก็รีบกุลีกุจอขึ้นไปนั่งบนตักแม่
และเริ่มลงมือรับประทานอาหารเช้านั้น
แอนนี่จุ่มขนมปังปังลงในชาส่วนแคทเทอรีนก็จิ้มนิ้วลงไปที่ตรงกลางไข่แดงแล้วยกนิ้วขึ้นดูด”(หน้า 80)
บทสนทนา
ในเรื่องมีการใช้ภาษาพูดที่สมจริงสอดคล้องกับตัวละครบุคลิกและสถานการณ์ของเรื่อง
เช่น
แอนนี่: “เอ่อ…..วันนั้นเป็นวันแม่ใช่ไหมคะ”
คุณพ่อ: “ก็ใช่นะสิ……แล้วไง”
แอนนี่: “เอ่อ…..แล้วเมื่อไหร่….จะถึงวันของลูกสักทีล่ะคะ”(หน้า 82)
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีการดำเนินเรื่องตามลำดับปฏิทิน
คือมีการเล่าเรื่องราวต่างๆตามลำดับเวลาเหตุการณ์และมีการแทรกรายละเอียดที่จำและมีการแทรกเนื้อหาไว้ในการดำเนินเรื่องด้วยในเรื่องวันแม่มีการลำดับความคิดเพื่อให้เด็กไม่เดความสับสนอีกด้วย
การตั้งชื่อเรื่อง
ผู้เขียนมีการตั้งชื่อเรื่องให้มีความสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและแก่นเรื่อง
มีการใช้ภาที่กระชับเข้าใจง่าย และมีความสอดคล้องกับเนื้อหาในเรื่อง
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการสร้างความสะเอนใจแบบสุขใจ ประทับใจ คือ
การที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันและมีลูกๆล้อมรอบกันอย่างมีความสุขเช่น
“หลังจากนั้น….แอนนี่และแคทเทอรีนต่างก็ปีนขึ้นเตียงมาซุกแนบ
อยู่ระหว่างซ้ายขวาของซูซี่แล้วอ่านนิทานกันอย่างมีความสุข”
วิเคราะห์เรื่องสั้น
เจ้าตัวแสบส์ส์
เรื่องใครหนอทำให้พ่อรักในสิ่งที่ไม่ชอบ
โครงเรื่อง
ผู้เขียนมีการวางโครงเรื่องแบบความขัดแย้งของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การสร้างเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งกันไม่ว่าจะเป็นฉากหรือบทบาทของตัวละคร
จนเกิดเหตุการณ์ใหม่ขึ้นและทำให้เกิดอามรณ์ความรู้สึกที่แตกต่างในเรื่องเดียวกันเช่น เรื่องราวของครอบครัวหนึ่งซึ่งคุณพ่อไม่ชอบสัตว์แต่ลูกๆอยากเลี้ยงสัตว์และคุณพ่อตัดสินใจให้เลี้ยงเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น
แก่นเรื่อง
ลูกชอบอะไร
พ่อก็ชอบด้วย
ตัวละคร
ผู้เขียนมีสร้างตัวละครให้สมจริง
คือ มีการสร้างตัวละครให้มีลักษณะที่เป็นไปได้ตามธรรมชาติ
ตัวละครในเรื่องมีทั้งหมด 4 ตัวละครคือ คุณพ่อ คุณแม่ แอนนี่ แคทเทอรีน
คุณพ่อ:
เป็นคนที่ไม่รอบเลี้ยงสัตว์
เพราะไม่กล้านำมาเลี้ยงกลัวมีปัญหาตามมาภายหลัง
คุณแม่:
เป็นคนที่สนับสนุนให้ลูกเลี้ยงสัตว์
แคทเทอรีน:
มีสัตว์เลี้ยงชื่อ หนูน่ารักน่าซัง
แอนนี่:
มีสัตว์เลี้ยงชื่อ ตะเภา
มีลักษณะธรรมดาๆ
ฉาก
ฉากในเรื่องมีความสอดคล้องกับโครงเรื่อง
แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่ใต้ต้นไม้เป็นบรรยากาศของความศกเศร้า
ซึ่งผู้เขียนให้ตัวละครเป็นคนถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง เช่น
“ลาก่อน….เจ้าหนู” เธอกระซิบ
แล้วเธอก็ร้องไห้จน หน้าตายู่ยี่ (หน้า 90)
บทสนทนา
มีการภาษาที่สมจริงสอดคล้องกับตัวละคร บุคลิก และสถานการณ์ของเรื่อง เช่น
แอนนี่: “ขอพี่อุ้มบ้างซิ”
แคทเทอรีน:
“ไม่ให้…….ของพี่ก็มี….นี่ของหนูนะ”
คุณแม่: “ขอแม่อุ้มบ้าง…..ไม่งั้น…แม่จะทำโทษนะ” (หน้า 88)
กลวิธีการดำเนินเรื่อง
ผู้เขียนมีการดำเนินเรื่องแบบให้ตัวละครเป็นผู้เล่าเรื่อง
โดยให้ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งในเรื่องเป็นตัวเล่าเรื่อง
ในเรื่องใครหนอทำให้พ่อรักสิ่งที่ไม่ชอบ
ก็จะเป็นตัวพ่อที่เป็นคนเล่าเรื่องและทำให้เรื่องดำเนินต่อไปได้
การตั้งชื่อเรื่อง
การตั้งชื่อเรื่องมีความสัมพันธ์กับตัวละคร
และการตั้งชื่อเรื่องมีความกะทัดรัด ผู้อ่านสามารถเชื่อมโยงเนื้อหาได้
และชื่อเรื่องมีความสมจริง สอดคล้องกับเนื้อหา
การสร้างความสะเทือนใจ
ในเรื่องมีการเกิดเหตุการณ์ที่น่าสะเทือนใจคือ
สัตว์เลี้ยงของแอนนี่และแคทเทอรีนตายทำให้ในเรื่องมมีแต่ความโศกเศร้า เช่น “ไปแล้วไม่ไปลับ
คงยังอยู่ในหัวใจของพวกเราลอดไป” (หน้า 90)
อ้างอิง
คอลลิน โบว์เลส. (2535).เจ้าตัวแสบส์ส์.กรุงเทพฯ: บริษัทอักษรสัมพันธ์.
ขอเนื้อเรื่องตอนใครดื้อกันแน่หน่อยคะ
ตอบลบ